ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2553ตอน บวชได้ 7 วัน...มรณภาพปรโลกนิวส์...บวชได้ 7 วัน...มรณภาพเราต้องรีบชิงบวชตอนที่เรายังแข็งแรงอยู่ เพราะเราไม่ทราบเลยว่า มรณภัยจะมาถึงเราเมื่อไหร่ความตายไม่มีนิมิตหมายเรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาฝันในฝันหลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ทีแล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะพระธรรมทายาทท่านนี้ มีความตั้งใจเข้ามาบวชในโครงการอุปสมบทหมู่เข้าพรรษา หนึ่งแสนรูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ณ ศูนย์อบรมวัดพระธาตุดอยห้างบาตร อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ท่านบอกว่า “อยากจะบวชมานานแล้ว”_ยังเคยพูดกับคนที่บ้านว่า “อยากบวชตลอดชีวิต”_เมื่อเข้ารับการอบรมแล้วก็มีความตั้งใจในการทำกิจวัตรกิจกรรมทุกอย่าง อยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด แม้ว่าท่านจะเรียนรู้ได้ช้ากว่าพระเพื่อน แต่ก็มีความตั้งใจสูง จะยิ้มแย้มแจ่มใส มีมนุษยสัมพันธ์ดี ท่านเดินทางมาบรรพชาที่วัดพระธรรมกายด้วยความสดชื่น เบิกบานและมีความสุขมากเมื่ออุปสมบทแล้ว ก็มีความตั้งใจศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของการเป็นพระแท้ ท่านชอบนั่งสมาธิ(Meditation) ท่านบอกว่านั่งแล้วสบายใจ มีความสุข และได้บอกกับครอบครัวว่า ไม่ต้องห่วง ท่านจะขออยู่ในเพศสมณะไปตลอดชีวิต จนกระทั่ง วันจันทร์ที่ 26-กรกฎาคม พ.ศ.2553_หลังจากสวดมนต์ทำวัดเย็น ปฏิบัติธรรม และดูรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาแล้ว พระอาจารย์ก็ให้พระธรรมทายาทปลงอาบัติ และพับจีวรเก็บไว้ด้วยความเคารพบูชาในผ้ากาสาวพัสตร์ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปจำวัด เวลาประมาณสี่ทุ่มเศษ ได้มีเสียงกรนดังมากมาจากเต็นท์ของท่าน เพื่อนๆพระธรรมทายาทก็เข้าไปดูที่เต็นท์ ปรากฏว่าตัวของท่านมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มไปหมด ร่างกายมีอาการเกร็ง ส่งเสียงกรนตลอดเวลา เพื่อนๆพระธรรมทายาทจึงให้ดมยาดม ช่วยบีบนวด แล้วนำส่งโรงพยาบาลทันที ปรากฏว่า ท่านมีอาการเส้นเลือดฝอยในสมองแตก และมรณภาพในคืนวันอังคารที่ 27-กรกฎาคม พ.ศ.2553 เวลาสี่ทุ่มเศษ ด้วยอายุเพียง 45 ปี ****************ทุกคนล้วนตายหมด มีหลักวิชชาเกี่ยวกับการเดินทางไปสู่ปรโลก เพราะชีวิตหลังความตายนั้นยาวนานกว่าชีวิตตอนเป็นมนุษย์มากถึงมากที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปอยู่ภพภูมิใด หลักวิชชามีอยู่ว่า...ถ้าใจใสด้วยการสั่งสมบุญ เห็นภาพของบุญเป็นกรรมนิมิต (ภาพยนตร์ส่วนตัวที่เราเห็นอยู่คนเดียว)_คตินิมิตก็จะสว่าง ละโลกแล้ว ไปสู่สุคติภูมิ ไปดี แต่ถ้าใจหมองด้วยบาปอกุศล ภาพนั้นมาฉายเป็นกรรมนิมิต คตินิมิตก็จะมืด ตายแล้ว ไปอบาย ไปไม่ดี จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราจะเชื่อตอนเป็น หรือจะไปเห็นตอนตาย ถ้าเชื่อตอนเป็น ก็ต้องเชื่อด้วยการมาพิสูจน์ด้วยหลักวิชชาตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคำถาม 1.วิบากกรรมใดทำให้พระธรรมทายาทท่านนี้ เส้นเลือดฝอยในสมองแตกถึงสองครั้ง คือ เคยแตกครั้งที่หนึ่งตอนเป็นฆราวาส คำตอบ วิบากกรรมที่ทำให้พระธรรมทายาทท่านนี้ มรณภาพด้วยอาการเส้นเลือดฝอยในสมองแตก ทั้งนี้เป็นเพราะเศษกรรมปาณาติบาต จากกรรมทุบหัวสัตว์เพื่อนำมาทำเป็นอาหาร ที่ตัวท่านเคยทำเอาไว้ในหลายพุทธันดรก่อนๆโน้นตามมาส่งผล เรื่องมีอยู่ว่า...ในภพชาติดังกล่าว ท่านได้ไปเกิดเป็นหัวหน้าคนงานที่ทำงานให้กับตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่ง ซึ่งบ้านพักของท่านก็คือบ้านพักของคนงานที่อยู่ภายในบริเวณบ้านของท่านเศรษฐีนั่นเอง ด้วยความที่ท่านเป็นถึงระดับหัวหน้าคนงาน ท่านจึงมีหน้าที่คุมคนงานของท่านเศรษฐีทั้งหมด ให้ทำไร่ทำนาและเลี้ยงสัตว์ เช่น หมูและปลา เป็นต้น เพื่อนำมาทำเป็นอาหาร ในบางคราวที่คนงานมีไม่พอ ท่านจึงจำเป็นต้องฆ่าสัตว์เพื่อนำมาทำเป็นอาหาร ด้วยการทุบหัวหมูหรือหัวปลาด้วยตัวเองอยู่บ่อยครั้งแม้ตัวท่านจะประกอบกรรมปาณาติบาต จากการฆ่าสัตว์ทำอาหารอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังถือว่าเป็นคนที่บุญดี เพราะท่านเศรษฐีเจ้านายของท่าน มักจะนิมนต์คณะพระภิกษุสงฆ์จากวัด (ซึ่งเป็นวัดของหมู่คณะที่ลงมาสร้างบารมีในยุคนั้น)_มาทำบุญที่บ้านอยู่บ่อยๆ เมื่อคณะพระภิกษุสงฆ์ได้เดินทางมาเป็นเนื้อนาบุญที่บ้านของท่านเศรษฐีบ่อยเข้า ตัวท่านจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในศีลาจารวัตรและความสงบสำรวมของคณะพระภิกษุสงฆ์ จนทำให้ตัวท่านเกิดความรู้สึกอยากที่จะบวชกับเขาบ้างด้วยเหตุนี้ เวลาที่ท่านเศรษฐีนิมนต์คณะพระภิกษุสงฆ์มาทำบุญที่บ้านอีก ท่านจึงมีโอกาสได้ร่วมทำบุญตักบาตรไปตามกำลังทรัพย์ของท่าน เมื่อทำบุญเสร็จแล้วท่านก็มักจะอธิษฐานจิตว่า ขอให้ตัวท่านได้มีโอกาสบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์กับเขาบ้างถึงแม้ว่าในภพชาตินั้น ท่านจะมีความปรารถนาอยากที่จะบวชก็ตาม แต่พอเอาเข้าจริงๆ...ด้วยความมัวแต่ห่วงโน่นห่วงนี่ ติดโน่นติดนี่ ท่านจึงมักจะหาเหตุหรือหาข้ออ้างให้กับตัวเอง จนสุดท้ายก็ไม่ได้บวชตามที่ตัวเองได้ตั้งใจเอาไว้ ในภพชาตินั้น เมื่อท่านละโลกแล้ว ด้วยผลบุญที่ตัวท่านได้เคยทำบุญกับคณะพระภิกษุสงฆ์ที่ท่านเศรษฐีนิมนต์มาที่บ้านอยู่เรื่อยๆ บุญนี้จึงมาอุ้มให้ท่านไม่ต้องไปตกนรกจากวิบากกรรมปาณาติบาต จากการฆ่าสัตว์ทำอาหาร แต่ถึงกระนั้นวิบากกรรมดังกล่าวก็ได้ส่งผล ทำให้ตัวท่านไปเกิดเป็นสัตว์ที่ถูกเลี้ยงเพื่อนำมาฆ่าเป็นอาหารอยู่หลายภพหลายชาติ เรียกว่า ท่านต้องตายเกิดตายเกิด...เช่นนี้ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก (ตัวอย่างเช่น ฆ่าแพะหนึ่งตัว ต้องไปเกิดให้เขาฆ่า เป็นจำนวนเท่ากับเส้นขนของแพะตัวนั้น)เมื่อวิบากกรรมปาณาติบาต จากการฆ่าสัตว์ทำอาหาร เริ่มเจือจางลงไปแล้ว ท่านจึงได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง แม้ท่านจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ตาม แต่ด้วยความที่กำลังแห่งวิบากกรรมยังแรงอยู่ จึงส่งผลทำให้ท่านเป็นคนที่มีอายุสั้น คือ ตายตั้งแต่อายุยังน้อยมาหลายภพหลายชาติแล้ว เมื่อท่านได้ตายเกิดตายเกิดบ่อยเข้า วิบากกรรมดังกล่าวจึงเริ่มอ่อนกำลังลง จนเป็นผลทำให้ในภพชาติหลังๆอายุขัยของท่านจึงยืนยาวมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งในภพชาติปัจจุบัน วิบากกรรมดังกล่าวได้มีกำลังเบาบางเจือจางลง จนกลายเป็นเพียงแค่เศษกรรม จึงทำให้ท่านมีอายุขัยที่ยืนยาวมากกว่าในภพชาติที่ผ่านๆมา และด้วยความที่เศษกรรมปาณาติบาต จากการทุบหัวสัตว์เพื่อนำมาทำเป็นอาหารดังกล่าว แม้จะอ่อนแรงแต่ก็ยังมีกำลังอยู่ และยังคอยหาช่องตามส่งผลอยู่ตลอดเวลา พอได้ช่องก็ทำให้ตัวท่านต้องเกือบเสียชีวิตด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตกตอนเป็นฆราวาสหนึ่งครั้ง แต่สุดท้ายเมื่อเศษกรรมได้ช่องส่งผลอีกครั้งหนึ่ง จึงมาตัดรอนและส่งผลให้ตัวท่านต้องมรณภาพด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตกในที่สุด (โรคทั้งหลายล้วนมีเหตุจากวิบากกรรมทั้งสิ้น)ส่วนสาเหตุที่ทำให้ท่านได้มาบวชกับหมู่คณะในครั้งนี้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะผลบุญที่ท่านได้เคยร่วมทำบุญกับพระที่มาจากหมู่คณะ และตั้งจิตอธิฐานให้ตัวเองได้มีโอกาสบวชบ้าง ในภพชาติที่ท่านเกิดเป็นหัวหน้าคนงานของท่านเศรษฐีนั่นเอง ซึ่งคำอธิษฐานของท่านในครั้งนั้น เพิ่งจะได้โอกาสส่งผลในภพชาติปัจจุบันแม้ท่านจะได้บวช ก็ได้บวชเพียงแค่เจ็ดวัน เพราะระเบิดเวลาที่อยู่ในตัวของท่าน อันเกิดจากเศษกรรมที่ท่านได้กระทำไว้ในภพชาตินั้น ได้มาตัดรอนทำให้ท่านต้องมาเสียชีวิตอย่างกะทันหันหลังจากที่ท่านได้มรณภาพไปแล้ว กายมนุษย์ละเอียดซึ่งก็ยังเป็นกายแบบฆราวาส ได้หลุดออกมาจากายหยาบซึ่งยังบวชเป็นพระอยู่ สาเหตุที่ทำให้กายละเอียดของท่านไม่ได้เป็นพระเหมือนกับกายหยาบ ทั้งนี้เป็นเพราะท่านเพิ่งบวชได้เพียงไม่กี่วัน อีกทั้งใจของท่านยังคงติดอยู่ในฆราวาสสัญญา คือ ยังมีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นโยมมากกว่าเป็นพระ1 1คนที่จะมีกายละเอียดเป็นพระได้นั้น จะต้องมีความรู้สึกทั้งกาย วาจา ใจ ที่เป็นพระ (หลับไปแล้วก็ยังฝันว่าตัวเองเป็นพระ)_ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำก็ต้องเป็นพระด้วย คือ ต้องมีสมณสัญญาอยู่ตลอดเวลา และถ้าจะให้แน่นอนจริงๆ บุคคลนั้นจะต้องเป็นพระทั้งภายนอกและภายใน นั่นก็คือต้องเข้าถึงวิชชาธรรมกาย และต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายภายในให้ได้อย่างสนิทแนบแน่น ในตอนที่ท่านมรณภาพใหม่ๆ ท่านก็ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองได้ตายไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงยังคงทำกิจวัตรกิจกรรมไปกับเพื่อนๆธรรมทายาท ด้วยความคุ้น เคยชิน เหมือนตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่พอผ่านไปได้สองสามวัน ท่านก็จะเริ่มรู้สึกตัวว่า ท่านคงจะมรณภาพไปแล้ว เพราะรู้สึกแปลๆว่า ทำไมพูดกับใครไม่มีใครสนใจ หรือพูดคุยโต้ตอบกับท่านเลย เมื่อท่านรู้ตัวว่าท่านมรณภาพแล้ว ท่านก็เริ่มรู้สึกสับสน สิ่งแรกที่นึกถึง คือ เริ่มคิดถึงบ้าน ทันทีที่คิดถึงบ้าน กายละเอียดของท่านก็แวบกลับไปที่บ้าน แต่ว่าในบางช่วงท่านก็คิดถึงวัด เพราะใจของท่านก็ยังคงผูกพันอยู่กับวัด กายละเอียดของท่านก็จะแวบกลับมาที่วัดทันทีในขณะที่ท่านแวบไปแวบมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆก็ได้มีพระธรรมกายมาหาท่าน และได้พาท่านมาที่หน้ามหาธรรมกายเจดีย์ จากนั้นพระก็ได้บอกให้ท่านนึกถึงบุญที่ตัวท่านได้ทำมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุญที่ได้บวชในโครงการบวชพระหนึ่งแสนรูปเข้าพรรษาในครั้งนี้ ซึ่งตัวท่านมีความตั้งใจที่จะบวชไปตลอดชีวิต หลังจากนั้นพระได้เตือนสติว่า...ให้นั่งสมาธิ ให้มองไปบนเจดีย์ และสอนให้นึกถึงองค์พระบนเจดีย์สักองค์ไว้ที่ศูนย์กลางกาย พร้อมกับภาวนา...สัมมาอะระหัง ไปเรื่อยๆ หรือถ้านึกอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก ก็ให้ภาวนา...สัมมาอะระหัง ไปเรื่อยๆก่อนตอนนี้ ท่านนั่งสมาธิอยู่หน้ามหาธรรมกายเจดีย์ และนึกถึงบุญไปด้วย ที่สำคัญหมู่ญาติของท่านควรจะมาเยี่ยมท่านที่หน้ามหาธรรมกายเจดีย์ อีกทั้งอยู่ที่บ้านหรือไปที่วัด (วัดที่ท่านบวช หรือวัดใดวัดหนึ่ง)_ก็ควรจะนั่งสมาธิ แล้วอธิษฐานจิตนึกถึงบุญที่ตัวเองทำ อุทิศส่งไปให้กับท่าน เพื่อท่านจะได้นึกถึงบุญได้เร็ว และจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่สูงยิ่งๆขึ้นไป****************บวช 7 วัน มรณภาพแล้วไปดาวดึงส์ คลิกที่นี่ชม Video Scoop ปรโลกนิวส์...บวชได้ 7 วัน...มรณภาพ
มีปัญหาการรับชมวิดีโอ กรุณากดที่นี่ เพื่อใช้เครื่องเล่นแบบเก่า window media player
http://goo.gl/NvDGT